เลือกภาษา
close
เด็กโดนยุงลายกัด เสี่ยงป่วยเป็นไข้เลือดออก
เคล็ด (ไม่) ลับ น่ารู้ - พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต

โรคไข้เลือดออก อาการที่รู้ทันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เมื่อมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือมีผื่นแดงขึ้น หลายคนอาจคิดว่าเป็นอาการของไข้หวัดทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคไข้เลือดออกที่เป็นอันตรายหากไม่รักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งจากสถิติปี 2566 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยกว่า 156,097 ราย และเสียชีวิต 175 ราย ซึ่งสูงกว่าปี 2565 หลายเท่า และถึงแม้ในปี 2567 ตัวเลขผู้ป่วยจะลดลงเหลือ 104,397 ราย แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง

การรู้ข้อมูลของ “โรคไข้เลือดออก” จะช่วยให้สังเกตอาการได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และเมื่อสังเกตอาการได้ ก็จะสามารถหาวิธีรักษาไข้เลือดออกให้หายเร็วขึ้น ตลอดจนหาแนวทางป้องกัน พร้อมสร้างเกราะกำบังจากภัยความเจ็บป่วยในยามที่คุณไม่คาดคิด

 

”โรคไข้เลือดออก” อาการป่วยที่มียุงลายเป็นพาหะ

​​ไข้เลือดออก ​(Dengue Fever​) เป็น​​โรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี​​ที่​​มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้บ่อยในประเทศที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น ​​โดยเฉพาะ​​ช่วง​​ฤดูฝน​​ เนื่องจากเป็นช่วงที่มีน้ำท่วมขังในภาชนะต่าง ๆ ​​ซึ่งเอื้อต่อการ​​แพร่พันธุ์​​ของยุงลาย และ​​เมื่อยุงลาย​​ที่มีเชื้อ​​กัดคน เชื้อไวรัสก็​​จะ​​แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว​

​​ไวรัสเดงกี มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ​​ได้แก่​​ เดงกี 1, เดงกี 2, เดงกี 3 และ เดงกี 4 ซึ่ง​​มนุษย์​​สามารถติดไวรัสเดงกีได้​​ทุก​​สายพันธุ์ โดยหลังจากที่ยุงลายดูดเลือดจากผู้ป่วยในระยะไข้ ​​เชื้อ​​จะฟักตัวอยู่ประมาณ 8 - 12 วัน ​​ก่อนแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นผ่านการ​​กัด ทำให้​​การระบาดของ​​ไข้เลือดออก​​สามารถ​​เกิดขึ้น​​ได้​​อย่างต่อเนื่อง​

กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออก

​​โรค​​ไข้เลือดออก​​สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่สำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้ มักมีอาการรุนแรง จึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด​

  • ​​เด็กทารก​

  • ผู้สูงอายุ​

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์​

  • ​​ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน​

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือมีโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยหัวใจพิการแต่กำเนิด​

  • ​​ผู้ที่มีความผิดปกติของเลือด อย่างโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่าย​

  • ผู้ที่กำลังรับประทานยาสเตียรอยด์ หรือยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์​

 

เช็กสัญญาณเสี่ยงโรคไข้เลือดออก ตามระยะอาการ

ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ต้องให้ความใส่ใจ เพราะถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ สำหรับอาการไข้เลือดออกระยะแรก ไปจนถึงระยะวิกฤตและระยะฟื้นตัว จะมีลักษณะอาการดังนี้

อาการไข้เลือดออกแต่ละระยะ 

อาการไข้เลือดออกในระยะแรก 

อาการระยะวิกฤต 

อาการระยะฟื้นตัว 

  • ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว 

  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร 

  • อาจมีจุดเลือดออกตามตัว หรือมีอุจจาระดำ 

  • เสี่ยงภาวะช็อก ความดันต่ำ ตัวเย็น 

  • อาการเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด 

  • ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด 

  • อาการดีขึ้น จุดเลือดออกเริ่มจางลง 

  • ร่างกายกลับมาแข็งแรง 

 

สังเกตให้ดี ! ตุ่มไข้เลือดออก มีวิธีดูอย่างไร ?

ป่วยโรคไข้เลือดออกมักมีผื่น หรือจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองระยะดังนี้ 

  • ตุ่มระยะแรก ผิวหนังแดงทั่วตัว โดยเฉพาะหน้า คอ หน้าอก ซึ่งเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนัง 

  • ตุ่มระยะหลัง (ช่วงไข้ลดลง) ผื่นลักษณะเป็นปื้นแดง จุดเลือดออกเล็ก ๆ หรือบางรายอาจมีตุ่มนูน ซึ่งบ่งชี้ว่าเกล็ดเลือดในร่างกายลดลง 

ภาวะแทรกซ้อนจากไข้เลือดออก

 

  • เลือดออกในส่วนต่าง ๆ เช่น เหนือไรผม เหงือก ลิ้น หรือเลือดออกในกระเพาะอาหาร

  • ภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome) เนื่องจากหลอดเลือดรั่ว ทำให้ความดันเลือดต่ำ

  • ตับอักเสบ ไตวาย สมองอักเสบ หรือภาวะซึมเศร้า

  • เกล็ดเลือดต่ำ เสี่ยงต่อเลือดแข็งตัวผิดปกติและอาจมีเลือดออกภายใน

  • เสี่ยงเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

 

 

การตรวจโรคไข้เลือดออก

หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์อาจทำการตรวจด้วยวิธีเหล่านี้  

  • การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจสอบอาการทั่วไป เช่น ไข้สูง ผื่น และอาการเลือดออก 

  • การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับเกล็ดเลือดและฮีมาโตคริต ซึ่งมักลดลงในผู้ป่วยไข้เลือดออก 

  • การทดสอบอื่น ๆ เช่น การตรวจหาแอนติเจน NS1 หรือแอนติบอดีต่อไวรัสเดงกี เพื่อยืนยันการติดเชื้อ 

 

ข้อควรระวังในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก

  • ห้ามใช้ยาลดไข้แอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหาร ให้ใช้ยาพาราเซตามอล หรือตามที่แพทย์จ่ายเท่านั้น

  • อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยมีไข้สูงติดต่อกันนาน เพราะอาจจะทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ แนะนำให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ

  • ไม่ควรกินอาหารที่มีสีดำหรือแดง เพื่อจะได้สังเกตว่ามีเลือดออกในอวัยวะภายในหรือไม่ ผ่านสีของอุจจาระ

  • ไม่ปล่อยผู้ป่วยเอาไว้ลำพัง เพราะหากมีอาการรุนแรง และไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  • ดูแลด้วยความนุ่มนวล เพราะอาจจะทำให้เกิดจุดเลือดได้ง่าย

 

พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ​​ไข้เลือดออก

อย่าปล่อยให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพ ! แม้ไข้เลือดออกจะเป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ แต่บ่อยครั้งที่พฤติกรรมของเรามีส่วนทำให้เชื้อเกิดการแพร่กระจายในวงกว้าง โดยพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดโรคไข้เลือดออก มีดังต่อไปนี้ 

  • ปล่อยให้น้ำขังบริเวณบ้าน เป็นแหล่งวางไข่และเพาะพันธุ์ยุงลาย ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้มากขึ้น 

  • ไม่สวมเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย หรือออกไปทำกิจกรรมในพื้นที่เสี่ยง โดยไม่ฉีดสเปรย์ หรือทายาเพื่อป้องกันยุงกัด

  • อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งอาจจะทำให้เชื้อแพร่กระจายได้มากยิ่งขึ้น 

  • ไม่กำจัดขยะและวัสดุที่สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย 

  • ไม่ใช้มุ้งลวด หรือมุ้ง ขณะพักผ่อนในช่วงเวลาที่ยุงลายออกหากิน 

หากในพื้นที่มีการระบาดของไข้เลือดออก อย่ารอช้า รีบกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ฉีดพ่นสารเคมี หรือใช้มาตรการป้องกันยุงกัด เพื่อลดความเสี่ยงและหยุดการแพร่กระจายของโรค

 

วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก 5ป. 1ข.

 

วิธีป้องกันโรค​​ไข้เลือดออก​​ด้วยวิธี 5ป.​ + ​1ข.

​​ร่วม​​ป้องกันโรค​​ไข้เลือดออก​​ไม่ให้ระบาด ด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นต้นตอของพาหะนำโรคไม่ให้แพร่กระจาย โดยมีวิธี​​ตามหลัก​​ 5ป.​ + ​1ข. ​​ดังนี้

ป.1 - ปิด

​​ปิดภาชนะที่ใส่น้ำให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายสามารถวางไข่ได้ ไม่ว่าจะเป็นถังเก็บน้ำ โอ่ง หรือภาชนะอื่น​

ป.2 - เปลี่ยน

​​เปลี่ยนน้ำในแจกัน กระถางต้นไม้ หรือส่วนอื่นของบ้าน อย่างน้อย 7 วันครั้ง เพื่อลดโอกาสของลูกน้ำที่จะเกิดเป็นยุงลาย ​

ป.3 - ปล่อย

​​ปล่อยปลาลงไปในอ่างน้ำ กระถางไม้น้ำ บ่อน้ำ หรือแหล่งน้ำอื่น เพื่อให้ปลาช่วยกินลูกน้ำที่จะโตขึ้นมาเป็นยุงลาย​

ป.4 - ปรับ

​​ปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้โล่ง ไม่มีมุมอับที่จะทำให้ยุงลายมาเกาะ หรืออยู่อาศัย และแพร่กระจายเชื้อโรคได้​

ป.5 - ปฏิบัติ

​​ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและคนในครอบครัว​

ข. - ขัด

​​ขัดภาชนะใส่น้ำ เพื่อกำจัดไข่ยุงลายที่อาจจะเกาะอยู่บนภาชนะ หรือตะไคร่น้ำ​

 

วิธีรักษาไข้เลือดออกให้หายเร็ว สู่การฟื้นฟูร่างกายอย่างปลอดภัย

แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีรักษาไข้เลือดออกโดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยมีแนวทางในการสังเกตโรคไข้เลือดออกด้วยการดูแลอาการและรักษาที่บ้าน ดังนี้ 

  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว 

  • ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ 

  • หลีกเลี่ยงยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟน เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น 

  • รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน 

  • ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงไข้ลดลง ซึ่งเป็นระยะที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน 

 

ฉีดวัคซีนโรค​​ไข้เลือดออก​​ ป้องกันได้ก่อนเกิดโรค

การฉีดวัคซีนโรคไข้เลือดออก เป็นการป้องกันโรคและบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี ถึง 60 ปี สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยเป็นและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 3 เดือน สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนใช้อย่างเป็นทางการแล้ว 2 ชนิด ดังนี้

ชนิดวัคซีน

Dengvaxia® (CYD-TDV)

Qdenga® (TAK-003)

ลงทะเบียนใช้ในไทย

ตั้งแต่ปี 2559

เริ่มขึ้นทะเบียนในปี 2566

ช่วงอายุที่ฉีดได้

6-45 ปี

4-60 ปี

จำนวนเข็ม

3 เข็ม (0, 6, 12 เดือน)

2 เข็ม (0, 3 เดือน)

ประสิทธิภาพ

ป้องกันติดเชื้อ 65% ลดนอนโรงพยาบาล 90%

ป้องกันติดเชื้อ 80% ลดนอนโรงพยาบาล 90%

เงื่อนไข

เหมาะกับผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออก  มาก่อน ต้องตรวจเลือดก่อนฉีด

ฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยหรือไม่เคยติดเชื้อ ไข้เลือดออก ไม่ต้องตรวจภูมิ

ข้อห้ามใช้

หญิงตั้งครรภ์, ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้แพ้วัคซีน

หญิงตั้งครรภ์, ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ, ผู้แพ้วัคซีน

ราคาประมาณ (ต่อเข็ม)

ราว 2,900-3,000 บาท*

ราว 1,600-1,700 บาท*

*ราคาดังกล่าวอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่ให้บริการ ควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากสถานพยาบาลที่คุณเลือก

 

แผนประกันสุขภาพ​​จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ทางเลือกอุ่นใจเมื่อเป็นโรคไข้เลือดออก

นอกจากการ​​ทำ​​ตามหลักป้องกัน​​ไข้เลือดออก​​ และการฉีดวัคซีนแล้ว การเลือกซื้อ​ประกันสุขภาพ ​จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย​ ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถเตรียมความพร้อมเอาไว้ เพราะหากเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลขึ้นมา ยังมีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวโดย​​ไม่ต้องสำรองจ่าย* ทำให้รู้สึกอุ่นใจแม้ในวันที่กายป่วย ไร้กังวลเรื่องเงิน ​

 

เลือกแผนประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย วางแผนรับมือก่อนป่วย คลิกเลย

หมายเหตุ

  • ไม่ต้องสำรองจ่าย กรณีเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลคู่สัญญา

  • ความคุ้มครองขึ้นอยู่กับแผนประกันภัยที่เลือก

  • เงื่อนไขและเวลาเป็นไปตามกรมธรรม์กำหนด

  • ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

เป็นไข้เลือดออก สามารถรักษาที่บ้านได้ไหม ?

ผู้ป่วยที่มีอาการไข้เลือดออกในระยะแรก สามารถทำการรักษาที่บ้านได้ โดยการพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ แต่ต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด หากอาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์โดยทันที

หาก​​ไข้เลือดออก​​ยังไม่แสดงอาการ ให้น้ำเกลือก่อนจะหายไหม ?​​ 

การให้น้ำเกลือเป็นเพียงแนวทางช่วยบรรเทาอาการขาดน้ำ แต่ไม่สามารถรักษา​​ไข้เลือดออก​​ให้หายขาดได้ หากมีอาการน่าสงสัยว่าเป็น​​ไข้เลือดออก​​ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและติดตามระดับเกล็ดเลือดอย่างใกล้ชิด​​ สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา การเลือกซื้อ​ประกันสุขภาพ ​จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในกรณีที่เป็นโรค​​ไข้เลือดออก​​ขึ้นมา โดยไม่ต้องสำรองจ่าย* ​

ถ้าเคยเป็น​​ไข้เลือดออก​​แล้วจะเป็นซ้ำอีกไหม ?​​ 

สามารถเป็นซ้ำได้ เนื่องจากไวรัสเดงกีมี 4 สายพันธุ์  (DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแล้ว แต่ยังสามารถติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้ การเป็นครั้งที่สองอาจมีอาการรุนแรงกว่า จึงควรป้องกันตนเองโดยการหลีกเลี่ยงยุงลายและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงบริเวณรอบ ๆ ที่อยู่อาศัย รวมถึงเลือกซื้อ​ประกันสุขภาพ ​จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทยเอาไว้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายหากเป็นโรคไข้เลือดออก​​ขึ้นมาจริง ๆ​

ผื่นตุ่มไข้เลือดออกกี่วันถึงจะหายคันและหายไป ?​​ 

ผื่นหรือตุ่มไข้เลือดออกมักปรากฏขึ้นในระยะฟื้นตัวของโรค โดยปกติจะหายภายใน 3-7 วัน อาการคันอาจเกิดขึ้นในช่วงที่ผื่นเริ่มหายไป ซึ่งอาการคันจะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการเกาเพื่อลดโอกาสเกิดรอยดำหรือการติดเชื้อเพิ่มเติม หากอาการคันมาก ควรปรึกษาแพทย์

รู้ได้อย่างไรว่า ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ?​​ 

อาการของไข้เลือดออกจะดีขึ้นเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะฟื้นตัว โดยสามารถสังเกตอาการที่ดีขึ้นได้ดังนี้ 

  • ไข้ลดลง และไม่มีไข้สูงอีก 

  • อาการคลื่นไส้ อาเจียนลดลง 

  • ความอยากอาหารกลับมา 

  • ระดับเกล็ดเลือดเริ่มเพิ่มขึ้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 

  • ผู้ป่วยรู้สึกมีแรงมากขึ้น ไม่อ่อนเพลีย 

แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว ​​แต่ยัง​​ควรติดตามสุขภาพต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนักในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังฟื้นตัว เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์​​ พร้อมเพิ่มความอุ่นใจ ด้วยการทำ​ประกันสุขภาพ ​จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย เพื่อช่วยดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทำให้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างสบายใจจนหายดี​​

 

ข้อมูลอ้างอิง 

  1. ไข้เลือดออก มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้ช็อก ! 

  2. โรคไข้เลือดออก ภัยร้านจากยุงลาย 

  3. โรคไข้เลือดออก 

  4. ไข้เลือดออกป้องกันได้ ด้วยมาตรการ 5ป 1ข 

  5. ยอดผู้ป่วยไข้เลือดออกปี 2566 พุ่งสูงมาก! ยอดเสียชีวิตสูงถึง 175 ราย 

  6. สถานการณ์ไข้เลือดออก ในประเทศไทย ปี 2567 

  7. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)