
สอนลูกจัดการแต๊ะเอีย
แบบฉบับเจ้าสัวตัวน้อย
ลูกได้รับเงินแต๊ะเอียก้อนใหญ่ในวันตรุษจีนทั้งที พ่อแม่ก็ควรใช้โอกาสนี้สอนลูกเรื่องการเงิน ที่ไม่ใช่แค่การใช้เงินให้เป็น เก็บเงินให้อยู่ แต่ต้องเสริมเรื่องการลงทุน...เพื่อให้รู้วิธีทำให้เงินงอกเงย
สอนให้ลูกเข้าใจ...เรื่องความต่างระหว่าง “การออม” กับ “การลงทุน”
เมื่อต้องเริ่มต้นสอนลูก พ่อแม่บางคนอาจคิดว่า..แล้วจะทำยังไงให้เด็กในวัยนี้เข้าใจเรื่องการเงินการลงทุน ซึ่งเทคนิคในการสอนแบบง่ายๆ ที่ไม่ว่าวัยไหนก็เข้าใจได้ คือ การแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการออมเงินไว้เฉยๆ ที่จะไม่ได้รับกำไรเพิ่ม, การออมเงินในธนาคาร ที่จะได้รับกำไรเพิ่มเพียงเล็กน้อย และการลงทุน ที่จะได้รับกำไรมากกว่าการออมในธนาคาร
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่อาจจะให้ลูกนำเงินจำนวนเท่ากัน 3 ก้อน โดยก้อนที่ 1 หยอดใส่กระปุกออมสิน ก้อนที่ 2 นำไปฝากในธนาคาร และก้อนที่ 3 นำมาลงทุน เช่น การลงทุนซื้อของมาขายให้กับเพื่อนๆ หรือลงทุนซื้อเมล็ดผักมาปลูก เช่น ซื้อเมล็ดถั่วเขียวเพื่อนำมาปลูกเป็นถั่วงอก แล้วนำไปขายให้กับเพื่อนบ้าน หรือสมมติให้พ่อแม่เป็นลูกค้าก็ได้ เพื่อให้เขาเข้าใจถึงความต่างของการออมและการลงทุนแบบเห็นเป็นภาพอย่างชัดเจน
วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้ลูกเข้าใจถึงรูปแบบของการออมและการลงทุน แต่ยังเห็นความต่างของผลตอบแทนแบบชัดเจน คือ การออมเงินในกระปุกออมสิน จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเพิ่มเติม หรือไม่มีกำไรจากการออมวิธีนี้ แต่ยังคงเงินต้นที่เก็บสะสมไว้ได้ครบถ้วน ส่วนเงินที่นำไปฝากธนาคาร จะได้รับดอกเบี้ยหรือกำไรเพิ่มเติม (ฝากไม่เกิน 10,000 บาท ดอกเบี้ยประมาณ 0.5-0.75% ต่อปี) ในขณะที่การลงทุน ลูกจะเห็นว่าผลกำไรที่ได้จากการขายของนั้น อาจสูงถึงหลักสิบบาทหรือหลักร้อยบาท ซึ่งเห็นถึงผลกำไรที่มากกว่า..เมื่อเทียบกับเงินอีก 2 ก้อน
นอกจากความต่างเรื่องรูปแบบและผลตอบแทน ลูกจะเข้าใจถึงความเสี่ยงของการลงทุน เพราะหากของที่ซื้อมาขายไม่หมด หรือเมื่อปลูกเมล็ดผักแล้วไม่งอกเงย ไม่มีผลผลิตที่จะนำไปขายได้ ก็จะไม่ได้รับผลกำไร และบางทีอาจกลายเป็นขาดทุน เพราะจำนวนเงินที่ใช้ลงทุนซื้อเมล็ดผักเหลือไม่เท่าเดิม หรือกลายเป็นศูนย์ ต่างกับการออมในกระปุกหรือฝากธนาคาร ที่เงินต้นยังคงอยู่เท่าเดิม
50-30-20 สูตรการออมแบบง่ายๆ ที่ทำได้ตั้งแต่วัยเด็ก
Budget Rule ที่คิดค้นขึ้นมาโดย Elizabeth Warren อย่างเทคนิคการแบ่งเงินเป็น 3 ก้อน 50-30-20 นั้น พ่อแม่ก็สามารถนำมาปรับใช้ในการฝึกให้ลูกน้อยออมเงินจากแต๊ะเอียได้
โดย 50% ที่เป็นการแบ่งไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาจเปลี่ยนเป็นสัดส่วนสำหรับการเก็บออมเพื่อ(ชีวิตประจำวัน)ในอนาคตแทน ส่วน 30% ก็แบ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับซื้อความสุขให้ตัวเอง เช่น ของสะสมที่ลูกอยากได้ และอีก 20% แบ่งไว้สำหรับเป็นเงินสำรองเพื่อยามฉุกเฉิน หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในอนาคต
ลงทุนในอะไรได้บ้างที่เหมาะกับวัยลูก
นอกจากสอนลูกน้อยให้เข้าใจเรื่องการออมการลงทุน บริหารเงินที่ได้รับ เพื่อการใช้จ่ายและการออมอย่างเหมาะสมแล้ว พ่อแม่ควรเริ่มต้นสอนให้ลูกเรียนรู้วิธีการทำให้เงินงอกเงยตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งการลงทุนที่เหมาะสมกับวัยของลูกนั้น ควรเป็นประเภทที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว อย่างเช่น
- พันธบัตรรัฐบาล เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนรูปแบบอื่นๆ อาจไม่เน้นผลกำไรสูงมากนัก แต่ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่าการออมเงินในบัญชี
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการออมเงินในธนาคาร เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินคืนตามระยะเวลาที่ระบุในกรมธรรม์แล้ว และยังได้รับความคุ้มครองชีวิตในรูปแบบประกันชีวิต
ตัวอย่างเช่น PRUSavings Plus 10/4 จากพรูเด็นเซียลประกันชีวิต เป็นประกันสะสมทรัพย์ ที่จ่ายเบี้ยประกันภัยสั้น เพียง 4 ปี แต่ให้คุ้มครองชีวิตยาวถึง 10 ปี พร้อมรับเงินคืนทุกปี ปีละ 5% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และเมื่อครบ 10 ปี ก็รับเงินก้อนถึง 410% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
ซื้อออนไลน์ ง่ายๆ คลิกเลย! https://pruthai.life/6wTsb
เพราะความรู้เรื่องการเงิน คือหนึ่งเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่ลูกน้อยยังเด็ก เพื่อสร้างรากฐานการวางแผนการเงินที่ดี ที่ส่งผลต่อระดับคุณภาพชีวิตในอนาคต
หมายเหตุ:
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
-
เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
-
รับประกันภัยโดย บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย)
#PrudentialThailand #ชีวิตมีกันทุกวันดีกว่า #PRUSavingsPlus10_4
#ลงทุน #การออม #สอนลูก