
เคล็ด (ไม่) ลับ! วางแผนก่อนเกษียณ เพื่อการเงินมั่งคั่ง ชีวิตมั่นคง
เชื่อหรือไม่? ชีวิตวัยเกษียณจะสุขสบายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณเริ่มวางแผนแล้วหรือยัง หากไม่เตรียมตัว อาจต้องทำงานไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามีเงินออมและลงทุนอย่างถูกทาง ก็ใช้ชีวิตได้แบบที่ฝันไว้ เพราะนอกจากเงินเก็บ การลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน อย่างการศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะต่างๆ ลงคอร์สเรียนเพิ่มความรู้ สร้าง Connection ก็ช่วยให้คุณสร้างโอกาสและรายได้ในอนาคต มาดูกันว่าวางแผนเกษียณอายุให้ชีวิตมั่นคงและมั่งคั่ง จะทำยังไงได้บ้าง!
เจาะพฤติกรรมการเงินแต่ละเจนใช้เงินแบบไหน?
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ก็มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เงิน และแนวคิดเรื่องการออมของแต่ละเจน (Generation) ก็เป็นไปตามไลฟ์สไตล์ ความสนใจ และอาชีพของแต่ละช่วงวัย อยากชวนมาดูกันว่าคนแต่ละเจน มีแนวคิดการใช้เงิน และการออมเงินยังไงบ้าง?
Baby Boomers เจนแห่งความมั่นคง เกิดปี พ.ศ. 2489 - 2507
คนเจนนี้เติบโตมากับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มักประกอบอาชีพข้าราชการ พนักงานบริษัท หรือเจ้าของธุรกิจที่สร้างตัวเอง ให้ความสำคัญกับครอบครัว การส่งต่อมรดก และใช้เงินไปกับเรื่องสุขภาพ ครอบครัว รวมถึงการท่องเที่ยวช่วงเกษียณ ในด้านการเงินคนเจนนี้เน้นการออม และการลงทุนในสินทรัพย์ ดังนี้
-
เงินฝากธนาคาร ที่มีความปลอดภัย และสภาพคล่องสูง
-
พันธบัตรรัฐบาล ที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
-
อสังหาริมทรัพย์ เพื่อปล่อยเช่า และมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ คนเจนนี้ยังมีรายได้เสริมจากเงินบำนาญหรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณอีกด้วย
Gen X เจนแห่งการวางแผนชีวิต เกิดปี พ.ศ. 2508 - 2523
คนเจนนี้ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัว และงาน มีแนวคิดเรื่อง Work-Life Balance แต่ยังเผชิญภาระทางการเงินมากมาย เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมบุตร หรือค่าประกันสุขภาพ มักอยู่ในตำแหน่งผู้บริหาร พนักงานอาวุโส หรือเจ้าของธุรกิจ ในส่วนของด้านการเงิน คนเจนนี้เริ่มวางแผนเกษียณ และต้องการอิสรภาพทางการเงิน จึงเน้นการออม และการลงทุนที่หลากหลาย เช่น
-
กองทุนรวม เพื่อกระจายความเสี่ยง และสามารถลดหย่อนภาษีได้
-
หุ้น หรือทองคำ เพื่อโอกาสในการได้ผลตอบแทนสูง และยอมรับความผันผวนได้
-
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ มีให้ทั้งความคุ้มครอง และออมเงินในระยะยาว
Gen Y เจนแห่ง Work Life Balance เกิดปี พ.ศ. 2524 - 2539
คนเจนนี้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ชีวิต และความสมดุล ระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว โดยนิยมทำงานในรูปแบบเวลาที่ยืดหยุ่น เช่น ฟรีแลนซ์ สตาร์ทอัพ ดิจิทัลโนแมด หรือพนักงานออฟฟิศ อย่างไรก็ตาม เจนนี้ยังมีความหลากหลายในสายอาชีพอื่นเช่นกัน
ด้านการใช้จ่าย คนเจนนี้เน้นเรื่อง การท่องเที่ยว พัฒนาตัวเอง และการใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ ขณะเดียวกันก็เริ่มใส่ใจเรื่องการเงิน การลงทุน เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยนิยมลงทุนใน
-
หุ้น เพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนสูง เข้าถึงง่ายผ่านแอปฯ แต่ต้องยอมรับความผันผวนได้
-
คริปโตเคอร์เรนซี การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้ผลตอบแทนไว แต่มีความเสี่ยง และมีความผันผวนสูง
-
ลงทุนในธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็ก เช่น คาเฟ ร้านค้าออนไลน์ หรือบริการเฉพาะทาง ที่เริ่มจากความชอบ แล้วต่อยอดเป็นรายได้
นอกจากนี้ คนเจนนี้ยังมองหา การสร้าง Passive Income จากการซื้อคอนโด เพื่อปล่อยเช่า และแหล่งรายได้เสริมต่าง ๆ บนช่องทางออนไลน์ เช่น ทำคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อรับสปอนเซอร์ หรือใช้ Affiliate Link เพื่อสร้างรายได้
Gen Z เจนแห่งดิจิทัลและการสร้างตัวตน เกิดปี พ.ศ. 2540 - 2555
คนเจนนี้เติบโตมากับโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น TikTok, YouTube, eCommerce และคอนเทนต์ออนไลน์ต่าง ๆ จึงนิยมใช้จ่ายกับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต และการทำงาน เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Gadget) และบริการสมัครสมาชิก (Subscription) ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัล
เจนนี้เริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยอาชีพที่ได้รับความนิยม เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์, ยูทูบเบอร์ เกมสตรีมเมอร์, นักพัฒนาแอปฯ และซอฟต์แวร์ ซึ่งสามารถใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสร้างรายได้โดยไม่จำเป็นต้องรอเรียนจบ
เจนนี้ยังมีแนวคิดเรื่องการออมเงินแบบใหม่ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างของฟุ่มเฟือย หรือสิ่งที่ไม่ได้ใช้งานจริง เพื่อนำเงินไปต่อยอดลงทุน หรือสร้างรายได้เพิ่มเติมจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยการลงทุนที่สนใจ เช่น
-
NFT สินทรัพย์ดิจิทัลที่ใช้สร้างผลงานขาย เช่น ภาพหรือเพลง
-
คริปโตเคอร์เรนซี ลงทุนในเงินดิจิทัลที่มีโอกาสทำกำไร แต่มีความเสี่ยง และความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้ คนเจนนี้ยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ จากเทคโนโลยี เช่น การใช้ AI ช่วยหารายได้ หรือการเข้าสู่โลก Metaverse เพื่อสร้างตัวตน
Gen Alpha เจนแห่งโลกอนาคต เกิดปี พ.ศ. 2556 - ปัจจุบัน
คนเจนนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), โลกเสมือนจริง (Metaverse) และอุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ คาดว่าอาชีพยอดนิยมของเจนนี้ในอนาคตจะเป็นนักพัฒนาเทคโนโลยี นักวิเคราะห์ข้อมูล และครีเอเตอร์ดิจิทัล ที่สร้างสรรค์เนื้อหาในแพลตฟอร์มใหม่ๆ
ซึ่งคนเจนนี้คุ้นเคยกับการใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ตั้งแต่วัยเด็ก และมีแนวโน้มจะทำธุรกรรมทางการเงินผ่านแอปฯ หรือระบบอัตโนมัติมากกว่าการใช้เงินสดแบบเดิม ในแง่การออมและการลงทุน คนเจนนี้มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาเทคโนโลยีในการจัดการเงิน คาดว่าการลงทุนที่จะเกิดขึ้น คือ
-
การลงทุนผ่านที่ปรึกษาอัตโนมัติ (Robo-Advisors) ระบบ AI ที่ช่วยวางแผนลงทุนแบบไม่ต้องมีผู้แนะนำส่วนตัว
-
การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล หุ้นเทคโนโลยี หรือโครงการในโลก Metaverse ที่เชื่อมกับชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้ คนเจนนี้ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อโลกและสังคม รวมถึงการใช้ชีวิตในโลกเสมือน มากกว่าการสะสมทรัพย์สินทางกายภาพแบบเดิม ๆ
ประเมินค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนสาย
ถ้าอยากมีชีวิตวัยเกษียณที่สุขสบายควรเตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ หนึ่งในนั้นคือ “การประเมินค่าใช้จ่ายในอนาคต” ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร? เพื่อให้แน่ใจว่าในอนาคตจะสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน และรับมือกับค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย ซึ่งปัจจัยหลักในการประเมินค่าใช้จ่าย ได้แก่
-
ค่าครองชีพ และค่าอาหาร : ถึงจะลดค่าใช้จ่ายเรื่องอาหาร และการเดินทาง แต่ก็ต้องคำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อที่อาจทำให้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นได้ (อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปี)
-
ค่ารักษาพยาบาล : เมื่ออายุมากขึ้น ค่ารักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียม ยิ่งถ้าไม่มี ประกันสุขภาพ ต้องเตรียมงบประมาณก้อนใหญ่สำหรับเรื่องนี้ทีเดียว
-
ภาระหนี้สินที่ต้องชำระ : ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าบัตรเครดิต ควรรวมยอดภาระทั้งหมดว่าเท่าไร? แล้ววางแผนปลดหนี้ให้ได้ก่อนถึงวันเกษียณอายุ
สมมติว่ามีค่าใช้จ่าย 30,000 บาท/เดือน และคาดว่าจะใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุอีก 25 ปี เมื่อประเมินค่าใช้จ่ายจะได้เป็น 30,000 บาท × 12 เดือน × 25 ปี = 9,000,000 บาท
แต่หากรวมอัตราเงินเฟ้อ 3% สามารถคำนวณได้โดยใช้สูตร
“ค่าใช้จ่ายในอนาคต = ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน × (1 + อัตราเงินเฟ้อ) ^ จำนวนปี”
และนำมาสะสมตลอด 25 ปี ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมอาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 13,125,000 บาท
ดังนั้น ถ้ามีหนี้บ้านหรือบัตรเครดิต ควรทยอยโปะหนี้ให้หมด เพราะการปลดหนี้เร็วทำให้มีเงินเหลือใช้ในวัยเกษียณ โดยอาจใช้วิธีโปะหนี้แบบ Snowball คือ โปะหนี้ก้อนเล็กก่อน เพื่อให้ปิดหนี้ได้เร็ว เห็นผลไว แล้วค่อยนำเงินไปโปะก้อนที่ใหญ่ขึ้น ช่วยสร้างแรงจูงใจในการจัดการหนี้ได้ต่อเนื่อง และในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ควรทำประกันสุขภาพตั้งแต่ตอนที่ยังมีสุขภาพดี เพื่อให้ได้เบี้ยฯ ที่ถูกกว่า และมีความคุ้มครองต่อเนื่อง
เช็กเงินออมก่อนเกษียณอายุ ว่ามีพอใช้แล้วหรือยัง?
เมื่อเดินทางเข้าสู่วัยเกษียณขึ้นมาจริง ๆ ต้องยอมรับว่า รายได้ประจำและโบนัสที่เคยได้จากการทำงานจะหายไป แต่ยังคงมีค่าใช้จ่ายอยู่ ถ้าไม่ออมเงินไว้ให้เพียงพอ อาจส่งผลกับสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้ชีวิตเกษียณอายุที่คิดไว้ไม่เป็นไปตามที่หวัง ดังนั้น ควรสำรวจเงินออมก่อนเกษียณอายุว่ามีเท่าไร จะทำให้วางแผนเกษียณอายุได้อย่างมั่นใจ เช่น
-
เงินออมในบัญชี คือ เงินที่สามารถถอนมาใช้ได้ทันที สำหรับค่าใช้จ่ายรายเดือนและเหตุฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาลหรือรายจ่ายเร่งด่วน โดยควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพื่อความอุ่นใจ
-
เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) เป็นเงินสะสมเพื่อวัยเกษียณ ที่นายจ้าง และลูกจ้างร่วมกันสะสมเข้ากองทุนทุกเดือน เงินก้อนนี้จะนำออกมาใช้ได้เมื่อเกษียณ และมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุน (ขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละแห่ง)
-
เงินประกันสังคม คือ เงินที่ส่งสมทบทุกเดือนจนกลายเป็นสิทธิ์บำเหน็จหรือบำนาญเมื่ออายุครบ 55 ปี โดยสามารถเลือกรับเป็นเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญได้ (กรณีจ่ายครบตามเงื่อนไข)
-
เงินจากประกันชีวิตต่าง ๆ เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่มีผลตอบแทนทั้งก่อนและหลังครบกำหนด หรือประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่ได้เงินคืนเป็นรายปีหลังเกษียณ ถือเป็นอีกทางในการสร้างรายได้ระยะยาว พร้อมคุ้มครองชีวิต
4 การลงทุนที่ไม่มีวันขาดทุน Generation ไหนก็เริ่มได้!
ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี และเต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจ ทำให้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวอีกต่อไป การตัดสินใจลงทุนจึงไม่ใช่แค่เรื่องผลตอบแทน แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงในระยะยาว จริงอยู่ที่ว่าการลงทุนในหุ้น ทองคำ หรือคริปโตเคอร์เรนซี ให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง หากถามว่าจะให้ ลงทุนอะไรดี จริง ๆ แล้วมีการลงทุนที่ไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน ไม่มีวันหมดอายุคือ “การลงทุนในตัวเอง” เพราะสิ่งเหล่านี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต และกลายเป็นต้นทุนที่งอกเงย เพื่อให้คุณไม่ว่า Generation ไหน ก็สามารถลงทุนแบบไม่มีขาดทุน และถูกจุดได้ เราขอแนะนำ 4 การลงทุนที่จะไม่มีวันขาดทุน ได้แก่
1) ลงทุนในการศึกษาพื้นฐานด้านการเงิน
ความรู้คือทรัพย์สินที่ไม่มีใครแย่งไปได้ ซึ่งการศึกษาพื้นฐาน คือจุดเริ่มต้นของทุกการตัดสินใจในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน การงาน หรือสุขภาพ เพราะคนที่มีความรู้จะเข้าใจบริบทรอบตัว และวางแผนชีวิตได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ซึ่งการศึกษาพื้นฐานเกี่ยวกับเงิน เช่น
-
ศึกษาหลักการออมเงิน การตั้งงบประมาณรายเดือน
-
ศึกษาความเข้าใจเรื่องภาษี บัตรเครดิต และดอกเบี้ยเงินกู้
-
พื้นฐานการลงทุน เช่น หุ้น กองทุนรวม หรือประกัน
-
การรู้เท่าทันข่าวสารเศรษฐกิจและภัยการเงิน เช่น แชร์ลูกโซ่ แอปกู้เงินเถื่อน
-
การใช้เทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น แอปธนาคาร, e-Wallet, Mobile Banking
ความรู้พื้นฐานเหล่านี้อาจดูเรียบง่าย แต่คือรากฐานของการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว เพราะช่วยให้ตัดสินใจด้วยข้อมูล ไม่ใช่อารมณ์ ลดความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญยังสามารถต่อยอดสู่โอกาสใหม่ ๆ ได้ เช่น การวางแผนการลงทุนให้งอกเงย รู้จักใช้เงินอย่างฉลาด มองเห็นโอกาสการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ใช้เทคโนโลยีช่วยบริหารเงิน และปรับตัวทันเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เป็นต้น
2) ลงทุนในคอร์สเฉพาะทาง และทักษะอาชีพ
เพราะทักษะคือทรัพยากรที่งอกเงยได้ในทุกยุคสมัย จึงสามารถต่อยอดเป็นโอกาสในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งในงานประจำ การเริ่มต้นอาชีพเสริม หรือแม้แต่การสร้างธุรกิจของตัวเอง
การมีทักษะเฉพาะทางที่ตลาดต้องการ คือแต้มต่อสำคัญที่จะช่วยให้คุณก้าวสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น เช่น
-
การตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) ที่จะช่วยสร้างแบรนด์และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกดิจิทัล
-
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) จะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นจากข้อมูล เพื่อใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ
-
ทักษะนเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Coding, UX-UI, AI Tools ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำงาน สร้างนวัตกรรม และตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคต
-
ทักษะในการสื่อสาร และภาวะผู้นำ จะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตในสายงาน และทำให้บริหารทีมได้อย่างมืออาชีพ
-
นักสร้างคอนเทนต์ (Content Creator) ผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เช่น TikTok, YouTube, Facebook, Instagram ฯลฯ ที่จะช่วยโชว์ความเชี่ยวชาญ ขยายโอกาส และต่อยอดสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล
ดังนั้น ในยุคที่รายได้ไม่แน่นอน เศรษฐกิจไม่คงที่ การลงทุนในทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ จึงช่วยให้ไม่ตกกระแส และสร้างความยืดหยุ่นในการหาเส้นทางอาชีพใหม่ ๆ
3) ลงทุนในการสร้าง Connection
เพราะ “ใครที่รู้จักเรา” อาจสำคัญพอ ๆ กับ “เรารู้จักอะไร” เพราะยุคนี้โอกาสต่าง ๆ ไม่ได้มาจากการแค่ส่งใบสมัครอย่างเดียว แต่ยังมาจากคนรู้จักหรือคนที่ติดตาม ดังนั้น การสร้าง Connection ที่มีคุณภาพ และสร้างตัวตนที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น
-
การเข้าร่วมกลุ่มสายอาชีพ หรือคอมมูนิตี้ที่แบ่งปันความรู้จากประสบการณ์จริง
-
การเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กชอป หรือ Networking Event เพื่อเปิดโอกาสได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ทั้งเพื่อนร่วมอาชีพ ผู้ว่าจ้าง หรือพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่อาจนำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ
-
เลือกเรียนศึกษาในสถาบันชั้นนำ หรือเรียนคอร์สต่าง ๆ เพื่อสร้าง Connection จากเพื่อนร่วมรุ่น อาจารย์ หรือศิษย์เก่า
-
การมีตัวตนบน LinkedIn เพื่อให้บริษัทหรือองค์กรเข้าถึงคุณได้ง่ายขึ้น
เพราะ Connection ที่ดีไม่ได้มีแค่คนรู้จัก แต่คือแหล่งไอเดีย แรงสนับสนุน และโอกาสใหม่ ๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น ได้คำแนะนำจากคนในสายงานเดียวกัน ถูกชวนเข้าร่วมโปรเจกต์ที่นำไปสู่สายงานใหม่
4) ลงทุนในสุขภาพ
เพราะสุขภาพที่ดีคือต้นทุนชีวิตที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายอะไร ทั้งเรื่องการทำงาน การสร้างรายได้ หรือการใช้ชีวิต ล้วนต้องพึ่งพาทั้งร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง การลงทุนในสุขภาพเลยไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย แต่คือการลดความเสี่ยง ลดภาระทางการเงินในเรื่องการรักษาพยาบาลอีกด้วย และเพิ่มโอกาสในอนาคต เช่น
-
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดโรค
-
การตรวจสุขภาพประจำปี ที่จะช่วยให้คุณรู้เท่าทัน และป้องกันปัญหาสุขภาพก่อนจะสายเกินไป เพราะการรักษาในระยะเริ่มต้น มักง่าย มีประสิทธิภาพดีกว่า และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในขั้นรุนแรง
-
การเลือกอาหารเสริมให้ร่างกาย เช่น วิตามิน โอเมก้า เพราะบางครั้งร่างกายอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในมื้ออาหารประจำวัน
-
การซื้อประกันสุขภาพ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากการเจ็บป่วย เพราะค่ารักษาพยาบาลอาจสูงเกินกว่าที่คาดคิด การมีประกันสุขภาพจึงช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน และทำให้เข้าถึงการรักษาที่ดียิ่งขึ้นได้
สุขภาพที่ดี และการวางแผนที่รอบคอบ คือเกราะป้องกันค่าใช้จ่ายก้อนโตในอนาคต ทั้งค่ารักษาพยาบาลและรายได้ที่อาจหายไปจากการเจ็บป่วย นอกจากนี้ สุขภาพที่ดียังช่วย ยืดอายุการทำงานให้คุณพร้อมรับโอกาสใหม่ ๆ และไม่ต้องกังวลกับโรคภัยเมื่ออายุมากขึ้น
และไม่ว่า Generation ไหน ถ้าอยากใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างที่ฝันไว้ การมีรายได้สม่ำเสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ ประกันบำนาญจึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ตอบโจทย์ ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งมั่นใจว่าอนาคตจะพร้อมทั้งเรื่องเงิน และคุณภาพชีวิตในแบบที่ตั้งใจไว้ได้
ประกันบำนาญ ตัวช่วยการออม เตรียมพร้อมก่อนเกษียณ
การเตรียมพร้อมเพื่อชีวิตหลังเกษียณไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ยิ่งคุณเริ่มวางแผนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งมั่นใจว่าอนาคตจะไม่สะดุด “ประกันบำนาญ” ตัวช่วยการออมที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างสบายใจ เพราะถือเป็นแหล่งรายได้ระยะยาวหลังเกษียณ ลองมาดู 4 เหตุผลที่ควรมีประกันบำนาญกัน!
1) แหล่งรายได้หลังเกษียณ
เมื่อไม่มีรายได้จากการทำงานอีกต่อไป “ประกันบำนาญ” จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเหมือนเงินเดือนหลังเกษียณ โดยคุณจะได้รับเงินเป็นงวด ๆ อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้คุณมีเงินสำหรับใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่าครองชีพ ค่ายารักษาโรค หรือแม้แต่ท่องเที่ยวตามใจฝันในวัยเกษียณ พูดง่าย ๆ คือคุณจะมี “แหล่งรายได้ประจำ” ที่ช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณมั่นคง และมีอิสระมากขึ้น
2) วางแผนทางการเงินระยะยาวได้
จุดเด่นของประกันบำนาญคือ “จ่ายสั้น แต่ได้ยาว” เพราะส่วนใหญ่จะจ่ายเบี้ยประกันชีวิตถึงแค่อายุ 60 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มได้รับเงินคืนทุกปี จนถึงสิ้นสุดสัญญา ช่วยให้คุณวางแผนการเงินระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น รู้ว่าแต่ละปีจะมีเงินเข้ามาเท่าไร และสามารถวางแผนใช้จ่ายหลังเกษียณได้ล่วงหน้า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคงในระยะยาว โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเก็บเงินทันก่อนจะถึงวัยเกษียณ
3) ลดหย่อนภาษี
ประกันบำนาญไม่เพียงช่วยคุณออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ แต่ยังให้ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” โดยเบี้ยประกันชีวิตที่คุณจ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ และไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี หรือสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี กรณีที่ไม่ได้ใช้สิทธิค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
4) ได้รับความคุ้มครองชีวิต
หลายคนอาจคิดว่าประกันบำนาญมีไว้เพื่อรับเงินรายปีหลังเกษียณเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ยังให้ความคุ้มครองชีวิตตลอดอายุกรมธรรม์อีกด้วย โดยคุณจะได้รับความคุ้มครองตั้งแต่วันที่กรมธรรม์เริ่มต้นความคุ้มครอง ไปจนถึงช่วงรับเงินบำนาญ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันในช่วงก่อนเกษียณ ผู้รับผลประโยชน์ก็จะได้รับเงินตามเงื่อนไขกรมธรรม์
ดังนั้น ถ้าเริ่มต้นวางแผนเกษียณยิ่งเร็ว ก็ยิ่งได้เปรียบ เพราะจะมีเวลาสะสมเงิน และสร้างผลตอบแทนได้นานยิ่งขึ้น เพราะถ้ารอให้ถึงวัยใกล้เกษียณอาจจะช้าไป