
ตอบครบเรื่องโรคปอดอักเสบ เจาะสาเหตุ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ได้กลายเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่คนไทยต้องเผชิญ ซึ่งยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่มีต่อระบบทางเดินหายใจและปอด ซึ่งหนึ่งในโรคร้ายที่มักเกิดจากการรับฝุ่นพิษสะสมในร่างกายคือ “โรคปอดอักเสบ” ซึ่งดูจะเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นเพื่อช่วยให้ทุกคนรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างมั่นใจ เราจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ให้มากขึ้นกัน
Table of Content
โรคปอดอักเสบมีสาเหตุจากอะไร ?
โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด โดยสาเหตุหลักสามารถแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
-
การติดเชื้อแบคทีเรีย เกิดจากแบคทีเรีย เช่น Streptococcus pneumoniae เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในผู้ใหญ่ โดยมักเกิดภายหลังจากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่
-
การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไวรัส RSV หรือไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดอาการทางระบบหายใจและส่งผลให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้
-
การติดเชื้อรา มักพบในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ป่วย HIV
-
ปัจจัยที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ ได้แก่ การสัมผัสมลภาวะ สารเคมี หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของปอดได้
PM2.5 กับความเสี่ยงในการเกิดโรคปอดอักเสบ
ฝุ่น PM2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและแทรกซึมลึกถึงถุงลมปอดได้ง่าย การต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 เป็นเวลานานอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคปอดอักเสบ ตามกลไก ดังนี้
-
กระตุ้นการอักเสบของปอด เนื่องจากฝุ่น PM2.5 มีสารพิษและโลหะหนักที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด
-
ลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยากขึ้น
-
เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ เพราะฝุ่นละอองสามารถเป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้
สุดท้ายเมื่อฝุ่นละอองเข้าสู่ปอดบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะพัฒนาและนำไปสู่การเป็นปอดอักเสบได้ในที่สุด การหมั่นสังเกตอาการจากสัญญาณเมื่อเกิดการแพ้ฝุ่น ตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะนำไปสู่การสะสมของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โรคปอดอักเสบ ติดต่อไหม ?
ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หากเป็นปอดอักเสบที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือวัณโรค จะสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสูดละอองฝอยในอากาศจากการจาม หรือไอได้ แต่หากเกิดจาก ฝุ่นละออง PM2.5 หรือปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ จะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
ปอดอักเสบ หายเองได้ไหม ? มีวิธีการรักษาอย่างไร ?
ปอดอักเสบไม่สามารถหายเองได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสม โดยแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค
ปอดอักเสบจากไวรัส (Viral Pneumonia)
ปอดอักเสบจากไวรัสเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไวรัส RSV และโควิด-19 ซึ่งโดยทั่วไปอาการมักไม่รุนแรงและสามารถฟื้นตัวได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานมากเกินไป
-
ดื่มน้ำให้มาก เพื่อช่วยให้ร่างกายขับสารพิษและลดภาวะขาดน้ำ
-
ใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการไข้และปวดกล้ามเนื้อ
-
หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจติดขัด หรือไข้สูงต่อเนื่อง ควรรีบพบแพทย์
ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial Pneumonia)
ปอดอักเสบจากแบคทีเรียมักเกิดจากเชื้อ Streptococcus Pneumoniae หรือ Mycoplasma Pneumoniae หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถหายเองได้ ด้วยวิธี ดังนี้
-
ใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ตามคำแนะนำของแพทย์
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อลดเสมหะ
-
ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ เพื่อช่วยลดอาการไอและระคายเคืองปอด
ปอดอักเสบจากเชื้อรา (Fungal Pneumonia)
ปอดอักเสบประเภทนี้พบได้น้อยกว่าปอดอักเสบจากไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งมักเกิดในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานาน โดยมีแนวทางในการรักษา ดังนี้
-
ใช้ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drugs) เช่น Fluconazole หรือ Amphotericin B
-
หากอาการรุนแรง อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอาการ
ปอดอักเสบที่ไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อ
เป็นประเภทปอดอักเสบที่เกิดจากการสูดดมฝุ่นละออง PM2.5 ควันบุหรี่ หรือสารเคมี ที่ทำให้เนื้อเยื่อปอดเกิดการอักเสบ จึงมีแนวทางในการรักษาและป้องกัน ดังนี้
-
หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศ เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง และสารเคมี
-
สวมหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
-
ใช้ออกซิเจนบำบัด (Oxygen Therapy) หากมีอาการหายใจลำบาก
-
ใช้ยาสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อลดการอักเสบในปอด
ปอดอักเสบ ห้ามกินอะไร ?
อาหารบางประเภทอาจส่งผลกระทบต่อระบบหายใจและทำให้อาการปอดอักเสบแย่ลง จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นอาการระคายเคือง หรือทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้น ดังนี้
อาหารมันและของทอด
อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด เบคอน ไส้กรอก อาหารฟาสต์ฟู้ด รวมถึงขนมอบที่มีไขมันทรานส์สูง สามารถทำให้เกิดเสมหะในลำคอมากขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้ป่วยปอดอักเสบที่ต้องการให้ปอดสะอาดและโล่งขึ้น
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ไวน์ หรือสุรา ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ทำให้ร่างกายฟื้นตัวจากปอดอักเสบได้ช้าลง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังหรือเสมหะข้น
อาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง
อาหารแปรรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอก แฮม ขนมขบเคี้ยว อาหารกระป๋อง รวมถึงอาหารแช่แข็งสำเร็จรูป มักมีโซเดียมสูง ซึ่งอาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากเกินไปและส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
อาหารที่มีน้ำตาลสูง
อาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ขนมอบ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวจากปอดอักเสบได้ช้ากว่าเดิม
วิธีตรวจอาการปอดอักเสบด้วยตนเอง
การสังเกตอาการปอดอักเสบตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากตรวจพบได้เร็วก็จะช่วยให้เข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแม้ว่าโรคปอดอักเสบจะต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์ แต่ก็สามารถตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเองได้ โดยใช้วิธีการต่อไปนี้
ทดสอบอาการหายใจลำบาก
โรคปอดอักเสบ มีหนึ่งในอาการที่สังเกตได้ง่าย คือภาวะหายใจลำบาก (Dyspnea) ซึ่งเกิดจากการที่ปอดมีการอักเสบและมีของเหลวสะสมในถุงลมปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในร่างกายลดลง โดยสามารถทดสอบได้ด้วยการลองกลั้นหายใจ 10 วินาที หากไม่สามารถกลั้นหายใจได้นานเหมือนปกติและรู้สึกแน่นหน้าอก หรือเหนื่อย อาจเป็นสัญญาณของภาวะปอดอักเสบก็เป็นได้ รวมถึงหากพบว่าเมื่อเดินขึ้นบันได 1-2 ชั้น แล้วมีอาการหอบเหนื่อยมากผิดปกติ หรือรู้สึกแน่นหน้าอก อาจหมายถึงปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย
ทดสอบด้วยการไอ
อาการไอเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญของปอดอักเสบ ซึ่งจะต่างจากอาการไอที่เกิดจากไข้หวัดธรรมดา โดยสามารถสังเกตได้จาก ในระยะแรกอาจมีอาการไอต่อเนื่องโดยไม่มีเสมหะ แต่หากเมื่อไรไอแล้วมีเสมหะข้น สีเขียว เหลือง หรือน้ำตาล อาจเป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง ให้ลองไอแรง ๆ แล้วฟังเสียงปอด หากรู้สึกว่ามีเสียงวี้ด หรือรู้สึกเจ็บลึกในปอด อาจบ่งบอกถึงภาวะของปอดอักเสบได้
ตรวจสอบเสียงหายใจ
การอักเสบและของเหลวที่สะสมในปอด ทำให้การไหลเวียนของอากาศไม่ราบรื่น โดยมีวิธีทดสอบ ได้แก่ การเงี่ยหูฟังเสียงหายใจของตนเอง สังเกตเสียงลมหายใจ ถ้ามีเสียง วี้ด หรือเสียงคล้ายฟองสบู่แตกในหน้าอก อาจเป็นสัญญาณของภาวะน้ำท่วมปอด อีกทั้งในปัจจุบันยังสามารถใช้แอปพลิเคชันช่วยในการบันทึกเสียงหายใจและตรวจสอบเสียงผิดปกติได้อีกด้วย
เช็กระดับออกซิเจนในเลือด (Oxygen Level Test)
ปอดอักเสบอาจทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งสามารถตรวจวัดได้โดยใช้เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse Oximeter) หากระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวัง หากต่ำกว่า 90% ควรพบแพทย์ทันที
เตรียมพร้อมรับมือกับโรคปอด
โรคปอดอักเสบเป็นภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษสูง เช่น ฝุ่น PM2.5 การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าการรักษา เพราะปอดเป็นอวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจโดยตรง หากได้รับผลกระทบอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นวิธีสำคัญในการเฝ้าระวังและตรวจหาความผิดปกติของปอด ตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งช่วยให้สามารถรับการรักษาได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
ทำประกันสุขภาพ เพื่อความพร้อมทางด้านค่ารักษาพยาบาล
แม้ว่าจะพยายามดูแลสุขภาพให้ดีที่สุดแล้ว แต่ความเจ็บป่วยอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด โดยเฉพาะโรคปอดอักเสบ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการรักษาตัวนานและมีค่าใช้จ่ายสูง หากเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดติดเชื้อรุนแรงหรือภาวะขาดออกซิเจน การทำประกันสุขภาพเอาไว้จะช่วยให้อุ่นใจว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องพักผู้ป่วยใน ค่ายา และค่าบริการทางการแพทย์ รวมถึงค่าตรวจวินิจฉัย
ดูแลสุขภาพของคุณด้วยแผนประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต
หากต้องการความคุ้มครองโรคปอดที่ครอบคลุมมากขึ้น การเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพ จะช่วยเสริมความอุ่นใจ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำแผนประกันสุขภาพ PRUe-Healthcare Plus จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ที่ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เคลมได้ ตามจริง กรณีรักษาผู้ป่วยใน สูงสุด 500,000 บาทต่อปี เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 14 บาท/วัน* คุ้มค่าใช้จ่ายได้ง่าย ปรับแผนได้ตามความเสี่ยง
-
ครอบคลุมทั้ง OPD และ IPD รวมถึงค่าห้อง ค่าแพทย์ และค่ายา
-
ไม่ต้องสำรองจ่าย เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่าย
-
เพิ่มความคุ้มครองโรคร้ายแรงและค่าชดเชยราย
*กรณีเพศชาย อายุ 30 ปี แผนความคุ้มครอง 1 เลือก deductible 60,000 บาท
คำเตือน
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
-
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
-
ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันที่เลือก
ข้อมูลอ้างอิง