
อยากหุ่นดีควรรู้ ความต่างของการลดไขมันในร่างกาย VS ลดน้ำหนัก
ใคร ๆ ก็บอกว่าถ้าอยากลดน้ำหนักต้องออกกำลังกาย แต่ทำไมยิ่งทำ...น้ำหนักกลับยิ่งเพิ่ม ก่อนจะนอยด์จนล้มเลิกความตั้งใจ ลองถามตัวเองหน่อยว่ารูปร่างที่ดีที่คุณต้องการคือแบบไหน เพราะการลดน้ำหนักกับการลดไขมันในร่างกาย สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกันนะ!
ทำความเข้าใจประเภทของไขมันในร่างกาย
ก่อนที่เราจะไปรู้ถึงความแตกต่างของการลดน้ำหนักกับการลดไขมันในร่างกาย เราต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับไขมันในร่างกายเสียก่อน ซึ่งหากมีการสะสมไว้มากเกินไปก็จะทำให้รูปร่างอ้วน ไม่กระชับ และน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานได้ ซึ่งไขมันในร่างกายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat)
เป็นไขมันที่สะสมใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นชั้นไขมันที่จับตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น สะโพก ต้นขา และท้อง แม้ว่าจะไม่อันตรายเท่าไขมันในช่องท้อง แต่ก็ยังสามารถทำให้รูปร่างดูใหญ่ขึ้นได้
ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat)
ไขมันชนิดนี้เป็นไขมันที่สะสมอยู่ในช่องท้อง รอบ ๆ อวัยวะภายใน เช่น ตับ ลำไส้ และหัวใจ ซึ่งเป็นไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้มากกว่าบริเวณอื่น ๆ เพราะจะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
สาเหตุของการสะสมไขมันส่วนเกินในร่างกาย
มีสาเหตุจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมไขมันส่วนเกินมากขึ้น แต่ที่พบได้หลัก ๆ มีดังนี้
-
บริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ไม่ว่าจะเป็นไขมันทรานส์หรือไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เบเกอรี่ทอด ขนมหวาน หรืออาหารที่มีแคลอรีสูงเกินความจำเป็น
-
ขาดการออกกำลังกาย ไม่เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
พันธุกรรม บางคนมีแนวโน้มที่ไขมันจะสะสมในร่างกายได้ง่าย เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดภาวะนี้มาจากคนในครอบครัว
ผลกระทบของไขมันส่วนเกินต่อสุขภาพ
การสะสมของไขมันส่วนเกิน นอกจากจะทำให้รูปร่างใหญ่ขึ้นและดูไม่กระชับแล้ว ยังจะกระทบต่อสุขภาพโดยรวม จนทำให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
-
โรคหัวใจ ไขมันในเลือดที่สูงขึ้นจะทำให้หลอดเลือดตีบ และเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
-
ความดันโลหิตสูง ไขมันที่สะสมในช่องท้องสามารถทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
-
โรคเบาหวาน การสะสมไขมันในร่างกายสามารถทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งนำไปสู่การเป็นโรคนี้ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
-
ปัญหากล้ามเนื้อและกระดูก การสะสมไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอาจทำให้เกิดปัญหากระดูกและข้อ เนื่องจากต้องรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ลดน้ำหนัก VS ลดไขมันในร่างกาย ต่างกันอย่างไร ?
การลดน้ำหนัก ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือการที่น้ำหนักตัวโดยรวมของเราลดลง ซึ่งสิ่งที่สลายหายไปอาจไม่ใช่แค่มวลไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงปริมาณน้ำในร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อของเราด้วย นั่นเท่ากับว่า แม้น้ำหนัก(ตัว)จะลดลงเยอะ แต่ไขมันอาจถูกกำจัดออกไปแค่นิดเดียว ทำให้ยังมีไขมันส่วนเกิน รูปร่างไม่เฟิร์มกระชับ และความเสี่ยงที่ไขมันจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอยู่
ในขณะที่การลดไขมันในร่างกาย เป็นการโฟกัสการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยไม่สูญเสียมวลกล้ามเนื้อเดิมที่มีอยู่ แถมยังเพิ่มการสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ เพื่อใช้เป็นตัวช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และเมื่อน้ำหนักตัวมาจากมวลกล้ามเนื้อเป็นหลัก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ถ้าคุณจะมีรูปร่างที่ดูลีนกว่าเดิม ทั้งที่ตัวเลขบนตาชั่งไม่ลดลง...หรืออาจมากกว่าก่อนเริ่มโปรแกรม
อยากเฟิร์มกระชับ นี่คือ 3 วิธีลดไขมันที่เป็นหัวใจสำคัญเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้สำเร็จ
การลดไขมันในร่างกายจะแตกต่างจากวิธีลดน้ำหนักแบบทั่วไป โดยมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ
-
กินโปรตีนให้เพียงพอ
เพราะโปรตีนเป็นสารอาหารที่ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อที่มีอยู่ไม่ให้สลายไป พร้อมทั้งกระตุ้นการสร้างมวลกล้ามเนื้อใหม่ ซึ่งจากผลการศึกษาหลาย ๆ ชิ้น พบว่า หากในแต่ละวันเราได้รับโปรตีน 1-1.6 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะสามารถรักษามวลกล้ามเนื้อ และกำจัดมวลไขมัน (ส่วนเกิน) ได้ดีกว่าการอดอาหาร
-
ออกกำลังกาย (คาร์ดิโอและเวตเทรนนิง)
ผลการศึกษาในกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นโรคอ้วน พบว่า การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวตเทรนนิง อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคู่กับการคุมอาหาร สามารถรักษามวลกล้ามเนื้อได้มากกว่าผู้ที่คุมอาหารแต่ไม่ได้ออกกำลังกาย มากถึง 93%
-
คุมแคลอรีให้พอดีกับความต้องการ ไม่กินน้อยกว่า ค่า BMR เพื่อป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
เพราะค่า BMR (Basal Metabolic Rate) คืออัตราการเผาผลาญพลังงานขั้นต่ำในแต่ละวัน เป็นค่าพลังงานที่ร่างกายต้องใช้เพื่อการทำงานของอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ หากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะดึงเนื้อเยื่อจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงานแทนที่จะใช้มวลไขมัน นั่นเท่ากับว่า มวลกล้ามเนื้อจะหายไป และอัตราการเผาผลาญก็จะลดลงตามไปด้วย
กินให้น้อยกว่า ค่า TDEE เพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
เพราะค่า TDEE (Total Daily Energy Expenditure) คืออัตราการเผาผลาญพลังงานทั้งหมดที่ใช้ในแต่ละวัน สามารถคำนวณได้จากการนำค่า BMR มาคูณกับค่าพลังงานการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้
-
ทำงานแบบนั่งกับที่ และไม่ได้ออกกำลังกาย (คูณ 1.2)
-
ออกกำลังกายบ้างเล็กน้อย 1-3 วัน/สัปดาห์ (คูณ 1.375)
-
ออกกำลังกายระดับปานกลาง 3-5 วัน/สัปดาห์ (คูณ 1.55)
-
ออกกำลังกายอย่างหนัก หรือเล่นกีฬา 6-7 วัน/สัปดาห์ (คูณ 1.725)
-
ออกกำลังกายทุกวัน เป็นนักกีฬาที่ฝึกซ้อมทุกวัน หรือทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเยอะ ต้อง Active ตลอดทั้งวัน (คูณ 1.9)
เมื่อเรารู้ว่าใน 1 วัน ร่างกายของเราจะเผาผลาญไปกี่แคลอรี การกินให้น้อยกว่าที่ร่างกายใช้ ก็นับเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยกำจัดไขมันในร่างกายออกไปได้นั่นเอง
เมื่อชีวิตมีความเสี่ยง มาเสริมความมั่นคงด้านค่ารักษาพยาบาล เลือกแผนประกันสุขภาพที่ใช่ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย
ถึงแม้ว่าการกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกาย จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่กระชับ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเจ็บป่วยได้อย่างไม่คาดฝัน การเตรียมความพร้อมด้านค่ารักษาพยาบาล ด้วยการทำประกันสุขภาพ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อช่วยให้คุณอุ่นใจในทุกสถานการณ์ สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถมาเลือกแผนประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทยได้เลย มีหลากหลายแผนที่เหมาะกับความต้องการของคุณ
สนใจประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย คลิกเลย
หมายเหตุ
-
ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก
-
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง