
กดดันตัวเองจนร้องไห้ ? เช็ก 5 อาการเครียดสะสม เสี่ยงซึมเศร้า
ด้วยยุคสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและการแข่งขัน หลายคนต้องแบกรับความรับผิดชอบในการดูแลครอบครัว ไหนจะความเครียดจากที่ทำงาน รวมถึงความกดดันที่ต้องบริหารการเงินภายในบ้านให้พอใช้ หลายครั้งที่ความเครียดเหล่านี้ก่อตัวสะสมจนทำให้เรากดดันตัวเองจนร้องไห้ออกมา เพราะรู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักอึ้งเกินจะแบกรับไหว ทำให้มนุษย์ Gen Y หลายคนก้าวเข้าสู่การเป็น “โรคซึมเศร้า” โดยไม่รู้ตัว อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่า แล้วจุดที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ล่ะ ? เป็นแค่อาการเครียดมากไป หรือกำลังเข้าใกล้โรคซึมเศร้ากันแน่ หากคุณคือหนึ่งใน “ชาวเดอะแบก” ที่อยากหันหลังกลับได้ทันก่อนสายเกินไป นี่คือสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด !
แยกให้ออก ! แบกหนักจนเครียด หรือกำลังเสี่ยง “โรคซึมเศร้า”
การเข้าใจความแตกต่างระหว่างความเครียดและภาวะซึมเศร้าเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทั้งสองอย่างมีผลกระทบต่อจิตใจและร่างกาย แต่แตกต่างกันในลักษณะและระดับอาการ
-
อารมณ์แปรปรวน รู้สึกหดหู่ ร้องไห้บ่อย คิดมาก โกรธ หรือหงุดหงิดง่าย
-
ไม่มีสมาธิ ความจำเริ่มแย่ลง หลงลืมง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลงด้วย
-
รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง เบื่อหน่ายกับทุกสิ่ง
-
ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เช่น นอนหลับยาก หลับไม่สนิท อาจมีท้องผูก ปวดหัว ปวดเมื่อยตัวร่วมด้วย
-
พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลดรวดเร็ว
หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นก็อาจเกิดจาก “ความเครียดสะสม” แต่หากเป็นอาการที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์ บวกกับมีอาการที่ผิดแปลกไปจากเดิม อาจเป็นสัญญาณเตือนที่คุณต้องรีบแก้ไข เช่น
-
เมื่อทำสิ่งที่ชอบ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น
-
รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า มองชีวิตที่ผ่านมาแล้วเห็นแต่ความผิดพลาด ความล้มเหลว
-
เริ่มนำตัวออกห่างจากสังคม เก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร
-
มีความคิดอยากตาย หรือเกิดทำร้ายตนเองด้วยอารมณ์ชั่ววูบ
โดยอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ถึงเวลาที่เดอะแบกต้องหาผู้ช่วยในการปลดล็อกสุขภาพจิตใจ อย่างการไปปรึกษาจิตแพทย์
แม้ยิ้มแย้ม แต่จงระวัง “ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น” ภัยเงียบที่ชาวเดอะแบกไม่ควรมองข้าม !
เมื่อพูดถึงโรคซึมเศร้า ส่วนใหญ่จะนึกถึงภาวะที่อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกไร้ค่า แต่รู้หรือไม่ว่ายังมี “ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น” ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน ?
หลายคนที่ต้องแบกรับภาระมากมาย อาจยังคงยิ้มแย้ม พูดคุย เข้าสังคมได้ตามปกติ แต่เมื่ออยู่คนเดียวอาจเครียดจนร้องไห้ โดยไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร อีกทั้งยังมีอาการทางกาย เช่น ปวดหัวบ่อย ปวดหลัง เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือมีปัญหาการนอน นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่บ่งชี้ เช่น ชอบย้ำคิดย้ำทำ หรือทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น ซึ่งแม้จะยังสามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานได้ แต่ประสิทธิภาพก็อาจไม่เต็มที่
ซึ่งหากปล่อยให้ภาวะนี้เรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษาที่ตรงจุด อาจนำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้าเต็มตัว ดังนั้น แม้จะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ก็อย่าละเลยที่จะสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้เอาไว้ด้วย
เตรียมตัวให้พร้อมก่อนตรวจเช็กภาวะซึมเศร้า ปลดล็อกได้ทันก่อนป่วย
แต่สำหรับใครที่สงสัยภาวะบางอย่างของตนเอง เช่น รู้สึกกดดันตัวเองจนร้องไห้จากความเครียดสะสม หรือรู้สึกได้ถึงความเจ็บป่วยทางกาย อาการเหล่านี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณของภาวะซึมเศร้า ควรไปตรวจเช็ก โดยวิธีการตรวจประเมินจะแบ่งเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
-
การตรวจประเมินจากการพูดคุยโดยจิตแพทย์ ซึ่งแพทย์จะซักถามอาการและประวัติอย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาวะทางอารมณ์และจิตใจ
-
การตรวจประเมินทางห้องปฏิบัติการ เพื่อเช็กปัจจัยอื่นที่อาจเป็นสาเหตุของอาการทางกายและอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะซึมเศร้าที่เกิดขึ้น เช่น ตรวจระดับฮอร์โมน ระดับวิตามิน หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยา
ดังนั้น การจัดเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนเข้ารับการตรวจซึมเศร้า จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
-
ลักษณะอาการทั้งทางกายและอารมณ์ที่เป็น
-
พฤติกรรมบางอย่างที่ผิดปกติจากเดิม รวมถึงพฤติกรรมการนอน (หากมี)
-
ประวัติอาการป่วยทางกาย รวมถึงประวัติการใช้ยา ทั้งที่เคยใช้และกำลังใช้อยู่
-
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น การกิน การออกกำลังกาย หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
-
ประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าของคนในครอบครัว หรือเคยใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (หากมี)
-
สถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเครียดสะสม เช่น ปัญหาการงาน การเงิน หรือปัญหาครอบครัว
ดูแลตัวเองอย่างไรให้กลับมาสดใส ?
ถึงจะเครียดแค่ไหน แต่ชีวิตก็ต้องไปต่อ ! ชาว Gen Y จึงควรมีแฮกชีวิต ที่ช่วยให้สามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็น
-
การออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งหรือคาร์ดิโอ ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยฮอร์โมนแห่งความสุข (Endorphins) ที่ช่วยลดความเครียดและทำให้รู้สึกดีขึ้น
-
การทำสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล เพิ่มความสามารถในการจัดการกับความเครียด
-
การพูดคุยกับคนใกล้ชิด หากิจกรรมทำร่วมกับเพื่อนและครอบครัว ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาความเครียด ทำให้รู้สึกเหมือนได้รับการสนับสนุน
-
การทำกิจกรรมที่สนใจ เช่น หาคอร์สเรียน หรือเวิร์กชอปกิจกรรมที่สนใจ เพื่ออัปสกิลใหม่และช่วยให้ได้พบปะผู้คนมากขึ้น
การดูแลสุขภาพต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรม หรือกิจวัตรประจำวันบางอย่าง เพื่อลดความกังวลและรักษาสุขภาพจิตได้ ก่อนที่ความเครียดจะพาจมดิ่งอยู่ในโลกที่มืดสนิท ที่เรียกว่า “โรคซึมเศร้า” จนไม่อาจดึงตัวเองขึ้นมาอยู่บนโลกใบเดิมนี้ได้
แต่หากอาการของความเครียด หรือภาวะซึมเศร้ายังคงอยู่ การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งนอกจากการเข้ารับการรักษา หรือปรึกษากับจิตแพทย์โดยตรงแล้ว หากมีอาการร้องไห้บ่อยจากการคิดมาก จนรู้สึกว่าต้องการคำปรึกษาอย่างเร่งด่วน สามารถมองหาทางเลือกในการโทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เพื่อขอรับคำแนะนำและการช่วยเหลือได้ แต่สิ่งสำคัญคือการรู้เท่าทันสัญญาณเตือนของทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ห่างไกลจากภาวะซึมเศร้าก็จะดีที่สุด
เริ่มต้นวางแผนดูแลสุขภาพได้ตั้งแต่วันนี้ กับประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย
การดูแลสุขภาพให้ดีเป็นการลงทุนที่สำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ในกรณีที่เกิดความเครียด การมีแผนประกันสุขภาพจะช่วยให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมหากส่งผลกระทบต่อร่างกาย ขอแนะนำแผนประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระที่เกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ช่วยลดความเครียดในระยะยาวที่ชาวเดอะแบกเป็นกังวล โดยเฉพาะคนที่มีภาระต้องดูแล มีหลากหลายแผนที่ตอบโจทย์กับความต้องการ สามารถเลือกแผนประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่เหมาะกับคุณได้เลย
สนใจประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย คลิกเลย
หมายเหตุ
-
ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก
-
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง