
รู้จัก “เงินเฟ้อ” พร้อมเทคนิคการวางแผนเกษียณที่ใช้ได้จริง
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน หลายคนเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยหวังว่าจะมีเงินก้อนโตไว้ใช้หลังเลิกทำงาน แต่หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญที่มักถูกมองข้ามไปก็คือเรื่องของ “เงินเฟ้อ” ที่เกิดขึ้นเงียบ ๆ แต่ค่อย ๆ ลดมูลค่าของเงินในกระเป๋าของทุกคนไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หากไม่เข้าใจและไม่เตรียมการไว้ อาจทำให้เงินที่สะสมมาทั้งชีวิตมีมูลค่าไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในอนาคต
เงินเฟ้อคืออะไร ?
ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวม ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ส่งผลให้อำนาจการซื้อของเงินลดลง เช่น ข้าวกล่องที่เคยราคา 35 บาทเมื่อสิบปีก่อน ปัจจุบันอาจต้องจ่ายถึง 50 บาท ทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้น เพื่อซื้อสินค้าในราคาเท่าเดิม
หลายคนอาจมองว่าเรื่องเงินเฟ้อเป็นเรื่องของรัฐบาล แต่รู้หรือไม่ว่า การที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สามารถกระทบต่อเงินในกระเป๋าได้มากกว่าที่คิด และยิ่งหากว่ารายได้ของเราเพิ่มไม่ทันอัตราเงินเฟ้อ ก็จะเหมือนกับว่าเราถูกลดเงินเดือน ๆ ทั้ง ๆ ที่จำนวนเงินเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ และผลกระทบนี้ไม่ได้กระทบต่อปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อการวางแผนเกษียณของเราในอนาคต ที่จะต้องคำนวณอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย เพื่อที่จะเก็บเงินได้อย่างถูกต้อง และครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่แท้จริงในวัยเกษียณ
เงินเฟ้อเกิดจากอะไร ?
ปัจจัยที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อมีหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
- ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ค่าแรง หรือวัตถุดิบแพงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นตามไปด้วย
- ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนต้องการซื้อสินค้ามากกว่าที่ผลิตได้ จะทำให้เกิดการแย่งซื้อ จนราคาของสินค้านั้น ๆ ขยับตัวขึ้น ตัวอย่างเช่น หากว่าคนหันไปดื่มมัทฉะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังผลิตได้จำนวนจำกัด ก็จะทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นได้
- ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมากเกินไป หากมีการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบมากเกิน โดยที่สินค้าและบริการยังเท่าเดิม จะทำให้เงินในระบบมีมูลค่าลดลง และทำให้สินค้าสูงขึ้น
ข้อดีและข้อควรระวังของเงินเฟ้อ
แม้คำว่าภาวะเงินเฟ้อคือสิ่งที่ดูน่ากังวล แต่ในระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ การมีอัตราเงินเฟ้อระดับต่ำ (1-3% ต่อปี) คือข้อบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่หากอัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป อาจเกิดผลเสียตามมาได้
ข้อดีของเงินเฟ้อ กรณีที่อยู่ในระดับ 1-3% ต่อปี
- กระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนและขยายกิจการมากขึ้น
- มีการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง มีความต้องการแรงงานในตลาดเพิ่มมากขึ้น
- หนี้มีมูลค่าลดลง ทำให้การขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนหรือซื้อบ้านมีความคุ้มค่ายิ่งขึ้น
- เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กระตุ้นให้มีการจับจ่ายมากขึ้น
ข้อควรระวังของเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อสูงกว่า 3% ต่อปี
- ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น โดยเฉพาะหากเงินเฟ้ออยู่ในอัตราที่สูงเกินไป อาจทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจได้
- เงินเก็บที่ผลตอบแทนลดมูลค่าลง ทำให้การวางแผนระยะยาวได้รับผลกระทบ เช่น การเกษียณ ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น
- เกิดการกักตุนสินค้า เพราะคาดว่าราคาของสินค้าจะเพิ่มสูงขึ้น
- รายได้อาจจะไม่ได้เพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าเงินลดลง
เงินเฟ้อส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในอนาคตอย่างไร ?
ลองคิดดูว่า หากว่าเราวางแผนใช้เงินเดือนละ 30,000 บาทหลังเกษียณ ซึ่งเพียงพอสำหรับค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล และกิจกรรมยามว่างในวันนี้ แต่ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า ถ้าอัตราเงินเฟ้อคือ 3% ต่อปี รายจ่ายเดิม 30,000 บาทต่อเดือน อาจต้องใช้มากถึง กว่า 70,000 บาท ต่อเดือน เพื่อซื้อของเท่าเดิม
ด้วยเหตุนี้ “เงินเฟ้อ” จึงเป็นศัตรูเงียบที่กัดกินมูลค่าของเงินโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำหลังเกษียณ หรือไม่ได้วางแผนเกษียณอย่างมีแบบแผนที่ชัดเจน
เทคนิคการวางแผนเกษียณให้รับมือกับเงินเฟ้อได้
ทำไมต้องคำนึงถึงเงินเฟ้อเมื่อวางแผนเกษียณ ? หลายคนอาจตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินบอกให้ทุกคนคำนวณอัตราเงินเฟ้อเข้าไปด้วย
คำตอบก็คือ การวางแผนเกษียณคือการวางแผนระยะยาว หากไม่วางแผนเกษียณให้ดี ย่อมมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามที่ตั้งใจไว้ โดยมีเทคนิค ดังนี้
- คำนวณอัตราเงินเฟ้อในการวางแผนเกษียณ โดยอัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ที่ 1-3% แต่โดยทั่วไปจะนิยมคำนวณอยู่ที่ 3% โดยสามารถคำนวณได้ผ่านเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์
- ออมเงินในช่องทางที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ แนะนำให้นำเงินที่ต้องการจะเก็บไว้ใช้ยามเกษียณไปลงทุนระยะยาว มากกว่าการใส่ไว้ในบัญชีเงินออมที่ดอกเบี้ยต่ำ
- ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโต เช่น กองทุนรวม หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์
- ออมเงินเร็วและสม่ำเสมอ โดยเริ่มเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้ดอกเบี้ยทบต้นทบดอก เพื่อให้เงินเติบโตในระยะยาว แนะนำให้ออมเงินเป็นประจำทุกเดือน
- เลือกทำประกันสะสมทรัพย์ เพื่อสร้างวินัยการออม และรับผลตอบแทนที่แน่นอนในระยะยาว
- อย่าลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การดูแลสุขภาพ รวมถึงการทำประกันสุขภาพเอาไว้ ก็ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยได้ในระยะยาว
หากคุณต้องการวางแผนเกษียณอย่างรอบคอบ และมั่นใจว่าเงินที่ออมไว้จะมีมูลค่าเพียงพอในอนาคต ประกันสะสมทรัพย์ หรือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยสร้างวินัยการออม พร้อมผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำและต้องการเงินก้อนไว้ใช้หลังเกษียณ
ขอแนะนำประกันสะสมทรัพย์ หรือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่ออกแบบมาให้คุณออมสบาย ชำระเบี้ยฯ สั้น รับเงินคืนระหว่างสัญญา และมีเงินก้อนรับเมื่อครบกำหนดสัญญา เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อได้อย่างมั่นใจ
- ออมสบาย เลือกแผนได้ตามต้องการ ได้รับความคุ้มครองตลอดสัญญา
- รับเงินคืนระหว่างสัญญา สร้างสภาพคล่อง
- มีเงินก้อนเมื่อครบสัญญา เหมาะสำหรับเกษียณหรือเป้าหมายระยะยาว
- ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนแน่นอน
หมายเหตุ
- เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
- ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ข้อมูลอ้างอิง
คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับเรื่องเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อกับเงินฝืดต่างกันอย่างไร ?
เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าเงินลดลง แต่ก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เงินฝืด คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้การใช้จ่ายชะลอตัวและเศรษฐกิจซบเซา ความต้องการสินค้าลดลง แม้เงินจะมีมูลค่ามากขึ้น แต่คนซื้อสินค้าน้อยลง ทำให้ลดการจ้างงาน ทำให้คนว่างงานเพิ่มขึ้น
อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไร ?
อัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสมในระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพควรอยู่ราว 1-3% ต่อปี เพราะสะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจและการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่หากเกินกว่านี้อาจเริ่มส่งผลกระทบเชิงลบต่อค่าใช้จ่ายและการออมในระยะยาว
มีตัวชี้วัดอะไรบ้างที่ใช้ติดตามเงินเฟ้อ ?
ตัวชี้วัดที่นิยมใช้คือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งติดตามการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการที่คนทั่วไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร น้ำมัน การขนส่ง และค่ารักษาพยาบาล แต่คนทั่วไปก็สามารถสังเกตได้จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ไข่ไก่ หรือสินค้าอื่น ๆ
ควรตรวจสอบเงินเฟ้อบ่อยแค่ไหนเพื่อปรับแผนการเงิน ?
ควรติดตามข้อมูลอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อประเมินว่าการลงทุนหรือการออมปัจจุบันยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ หากต่ำกว่ามากควรพิจารณาปรับพอร์ตการลงทุนหรือหาช่องทางออมเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น