
น้ำตาช่วยรักษาบาดแผลทางใจ อย่าเก็บไว้จนเจ็บเกินทน
“ร้องไห้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่ผิด ! เพราะประโยชน์ของการร้องไห้มีมากกว่าที่คิด เยียวยาทั้งสุขภาพใจและกาย และการร้องไห้ก็ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นคนที่อ่อนแอ เพราะจากผลงานวิจัยพบว่า ที่จริงแล้วการร้องไห้เป็นสัญญาณของความเข้มแข็ง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงในใจ และในทางตรงกันข้าม การกลั้นน้ำตาอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าอีกด้วย
ประเภทของน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยสาเหตุที่แตกต่าง
รู้หรือไม่ว่า น้ำตาของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ และไหลออกมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งน้ำตาแต่ละประเภทช่วยอะไรบ้าง รวมถึงทำไมเราถึงร้องไห้ออกมา ลองไปรู้ถึงสาเหตุกัน
1. น้ำตาหล่อลื่น (Basal Tears)
เป็นน้ำตาที่ทำหน้าที่หล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา ป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรค รวมถึงช่วยทำความสะอาดดวงตา
2. น้ำตาสะท้อน (Reflex Tears)
เป็นน้ำตาที่หลั่งออกมาเมื่อเจอกับสิ่งระคายเคือง อย่างฝุ่น ลม ควัน ช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในดวงตา
3. น้ำตาอารมณ์ (Emotional Tears)
เป็นน้ำตาที่เกิดจากอารมณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ ช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์
6 ประโยชน์ของการร้องไห้ เสียน้ำตาไปได้อะไรมากกว่าที่คิด
ในช่วงที่อารมณ์ของเราอยู่ในภาวะที่ตึงเครียด ความรู้สึกในใจกำลังแตกสลาย แต่ทำไมเมื่อร้องไห้ออกมาแล้วกลับทำให้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม เหมือนน้ำตาเป็นกาวที่ซ่อมหัวใจที่แตกสลายให้กลับมาเป็นรูปร่างได้ดีดังเดิม ซึ่งข้อดีของการร้องไห้มีดังต่อไปนี้
1. ร่างกายผ่อนคลาย
ระบบประสาทซิมพาเทติก (SNS) จะทำงานมากขึ้นในภาวะเครียด โกรธ หรือตกใจ กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว อัตราการเต้นหัวใจเร็วขึ้น แต่การร้องไห้จะกระตุ้นการทำงานระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (PNS) ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานอยู่ในสภาวะปกติ ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย เช่น หัวใจเต้นช้าลง รวมถึงทำให้อวัยวะอื่น ๆ ค่อย ๆ กลับมาทำงานเป็นปกติ
2. บรรเทาอาการเจ็บปวด
เมื่อหลั่งน้ำตา ร่างกายจะหลั่งออกซิโทซินและเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งพบว่าสารเหล่านี้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดทั้งทางใจและทางกายอีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะบาดเจ็บทางใจหรือทางกาย การร้องไห้ก็ช่วยเยียวยาได้
3. นอนหลับสนิทมากขึ้น
หลายคนอาจจะร้องไห้จนหลับ และคิดว่าตัวเองแค่อ่อนเพลีย แต่ที่จริงแล้วการร้องไห้ช่วยในเรื่องของการนอนหลับ โดยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และบรรเทาความเครียดต่าง ๆ
4. ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
ในน้ำตามีส่วนประกอบของเอนไซม์ที่ชื่อว่า ไลโซไซม์ (lysozyme) ซึ่งออกฤทธิ์ทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ ด้วยเหตุนี้ นอกจากน้ำตาจะช่วยหล่อเลี้ยงและรักษาความชุ่มชื้นแล้ว ยังทำความสะอาดผิวตาและสิ่งสกปรกอย่างเชื้อแบคทีเรียและไวรัสอีกด้วย
5. ลดอาการตาแห้ง ตาพร่ามัว
สถาบันจักษุแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Eye Institute) ได้อธิบายไว้ว่า น้ำตาช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นขึ้น เช่นเดียวกับเวลาที่เรากะพริบตา แล้วมีการหลั่งน้ำ(หล่อเลี้ยง)ตา ซึ่งมีส่วนช่วยลดอาการตาแห้ง ลดอาการตาพร่ามัว ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น
6. ช่วยปรับสมดุลทางอารมณ์
การศึกษาในทางจิตวิทยาพบว่า หลังจากที่เราร้องไห้ ร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการเยียวยาทางอารมณ์ ช่วยฟื้นฟูความสมดุลทางอารมณ์ได้รวดเร็วขึ้น
รู้ไหม? การร้องไห้ คือสัญญาณของความแข็งแกร่งทางจิตใจ
หลายคนอาจจะเคยตั้งคำถามว่า “การร้องไห้ช่วยอะไร ?” ในแง่ของทางจิตวิทยา เชื่อว่า “หากคุณร้องไห้” นั่นแปลว่า คุณรับรู้ความรู้สึกของตัวเองและกำลังเผชิญหน้ากับมัน ไม่ได้พยายามหลีกหนี เพิกเฉย หรือไม่รู้ตัวว่าสภาวะทางอารมณ์กำลังไม่ปกติ ซึ่งหากเป็นแบบนั้น สุขภาพจิตของคุณอาจย่ำแย่กว่า เพราะหากเรื้อรังไปนาน ๆ อาจนำไปสู่โรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้าในอนาคตได้ หรือเป็นไปได้ว่า คุณอาจเลือกวิธีรับมือที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช่น พึ่งพายาเสพติด หรือเสพติดสุราเรื้อรัง
เห็นไหมว่า การร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนอ่อนแอ แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำตาที่หลั่งออกมาคือสัญญาณของความเข้มแข็ง เพราะคุณมีความกล้าหาญมากพอ ที่จะเผชิญกับความรู้สึกแท้จริงในใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าไม่ไหว ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเถอะ ฝืนกลั้นไว้...บางทีก็อาจแย่กว่า!!
จะเกิดอะไรขึ้น หากว่าเรากลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ด้วยเหตุที่ประโยชน์ของน้ำตาช่วยสร้างสมดุลทางอารมณ์ ดังนั้น การกลั้นน้ำตาอาจส่งผลกระทบต่อทั้งทางร่างกายและจิตใจดังต่อไปนี้
-
ผลกระทบทางจิตใจ มีความเครียดสะสมเพิ่มขึ้น ทำให้อารมณ์แปรปรวนและควบคุมยาก เพราะกดอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ และอาจจะมีภาวะเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าอีกด้วย
-
ผลกระทบทางร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการทางกายจากความเครียดที่สะสม ไม่ว่าจะเป็นการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไปจนถึงเสี่ยงต่อโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง
การดูแลตัวเองหลังการร้องไห้
แม้ว่าการร้องไห้จะทำให้รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจ โดยมีวิธีการดูแลตัวเอง ดังนี้
-
นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
-
ดื่มน้ำเพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป
-
ประคบเย็นบริเวณดวงตา เพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง
-
หากิจกรรมที่ผ่อนคลาย อย่างการฟังเพลง นั่งสมาธิ
-
พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ รับการสนับสนุนทางอารมณ์
ตระหนักถึงอารมณ์และรับมืออย่างถูกวิธี สุขก็รู้ว่าสุข เศร้าหรือทุกข์ก็รู้ใจตัวเอง เพราะไม่ใช่แค่จิตใจแข็งแรง แต่ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงตามไปด้วย และหากว่าต้องการความอุ่นใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล สามารถทำประกันสุขภาพ จากพรูเด็นเชียล ประเทศไทยได้ มีให้เลือกหลายแผน ครอบคลุมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
หมายเหตุ
-
ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก
-
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง