
โรคไข้หวัดใหญ่: อาการเบื้องต้นและสิ่งที่ควรรู้เพื่อป้องกัน
เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมป่วยเป็นไข้หวัดทั่วไปไม่นานก็หาย แต่หากเป็น "ไข้หวัดใหญ่" ขึ้นมา กลับน็อคให้เราต้องนอนซมอยู่เป็นอาทิตย์ ? บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดใหญ่อย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุการเกิด อาการไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงวิธีการป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง
โรคไข้หวัดใหญ่คืออะไร ?
ไข้หวัดใหญ่ คือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ซึ่งเชื้อไวรัส Influenza คือไวรัสที่มีความสามารถในการแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
โรคไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่มีระดับความรุนแรงที่มากกว่า โดยอาการไข้หวัดใหญ่จะมีลักษณะแบบเฉียบพลันและมักจะมีไข้สูง ส่วนไข้หวัดธรรมดามักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปและไม่ค่อยมีไข้
สาเหตุการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่โดยทั่วไปมักเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
-
การสัมผัสเชื้อโดยตรงผ่านละอองจากการไอ จาม ของผู้ป่วย
-
การสัมผัสผ่านสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ลูกบิด ราวบันได โต๊ะ เก้าอี้
-
การอยู่ในพื้นที่แออัดที่มีการระบายอากาศไม่ดีกับผู้ป่วย
-
การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยในระยะ 1-2 เมตร
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดโรคไข้หวัดใหญ่
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคไข้หวัดใหญ่ ประกอบด้วย
ปัจจัยด้านอายุ
-
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี (โดยเฉพาะต่ำกว่า 2 ปี)
-
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
ปัจจัยด้านสุขภาพและภาวะของร่างกาย
-
มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคไต
-
มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
-
เป็นโรคหอบหืด
-
มีภาวะอ้วนรุนแรง (BMI ≥ 40)
-
หญิงตั้งครรภ์
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
-
การใช้ชีวิตในสถานที่แออัด
-
การทำงานในสถานพยาบาล หรือสถานดูแลผู้ป่วย
-
ภูมิคุ้มกันต่ำจากความเครียด ไม่พักผ่อนเพียงพอ
สายพันธุ์โรคไข้หวัดใหญ่
ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักที่พบบ่อยได้แก่
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A |
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B |
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C |
|
|
|
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B ต่างกันอย่างไร ?
ความแตกต่างหลักคือระดับความรุนแรงของโรคและการกลายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ A มักรุนแรงกว่าและกลายพันธุ์ได้ง่ายกว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีอาการที่พบได้บ่อยคือ ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดเมื่อยรุนแรง และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก ส่วนอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะมีอาการคล้ายกันกับสายพันธุ์ A แต่จะรุนแรงน้อยกว่า
ดังนั้นหากถามว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด ?" คำตอบก็คือ "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A" นั่นเอง
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดต่อไหม ? : การแพร่กระจายและการติดต่อ
โรคไข้หวัดใหญ่ติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนเริ่มมีอาการ จนถึงประมาณ 5-7 วันหลังเริ่มมีอาการ
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่
-
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
-
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
-
หญิงตั้งครรภ์
-
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน
-
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
จับสัญญาณร้าย ! อาการเบื้องต้นของโรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่มีอาการเบื้องต้นที่พบได้บ่อย ดังนี้
-
มีไข้สูงเฉียบพลัน (38.5-40 องศาเซลเซียส)
-
ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง
-
อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
-
ปวดศีรษะ
-
ไอแห้ง ๆ
-
เจ็บคอ
-
น้ำมูกไหล
-
คัดจมูก
-
หนาวสั่น
โดยอาการของโรคไข้หวัดใหญ่จะเริ่มปรากฏภายใน 1-4 วันหลังได้รับเชื้อ
อาการไข้หวัดใหญ่แบบนี้ ส่อแววอันตรายต้องรีบพบหมอด่วน !
ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้
-
หายใจลำบาก หรือหายใจเร็วผิดปกติ
-
เจ็บหน้าอกรุนแรง
-
ไข้สูงไม่ลดลงแม้ทานยาลดไข้
-
ซึม สับสน หรือไม่รู้สึกตัว
-
อาเจียนรุนแรง
-
มีอาการดีขึ้นแล้วกลับแย่ลงอีกครั้ง
ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ได้แก่
ภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ
-
ปอดบวม (Pneumonia) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยและอันตรายที่สุด
-
หลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
-
ปอดล้มเหลว
ภาวะแทรกซ้อนระบบหัวใจและหลอดเลือด
-
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis)
-
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis)
-
หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ภาวะแทรกซ้อนระบบประสาท
-
สมองอักเสบ (Encephalitis)
-
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
-
ชัก โดยเฉพาะในเด็ก
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
-
กล้ามเนื้ออักเสบ
-
ไตวาย
-
ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียรุมเร้า (Secondary Bacterial Infection)
การรักษาและระยะเวลาของอาการจนหายดี
ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ กี่วันหาย ?
ไข้หวัดใหญ่กี่วันหาย ? เป็นคำถามที่พบบ่อย โดยทั่วไป ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 5-7 วัน แต่อาการอ่อนเพลียอาจยังคงอยู่ได้อีก 1-2 สัปดาห์
การรักษาตามอาการ
-
การพักผ่อน
-
ควรนอนพักอย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
-
หลีกเลี่ยงการออกแรงหรือทำกิจกรรมหนัก
-
พักการทำงานหรือเรียนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
-
-
การดูแลเรื่องน้ำและอาหาร
-
ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
-
ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำผสมน้ำผึ้งมะนาวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
-
รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย และมีประโยชน์
-
รับประทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
-
-
การใช้ยา
-
ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล
-
ยาแก้ปวดลดการอักเสบ
-
ยาบรรเทาอาการคัดจมูก
-
ยาแก้ไอตามอาการ
-
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส
แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในกรณีต่อไปนี้
-
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
-
ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
-
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยในระยะ 48 ชั่วโมงแรกของการป่วย
ยาต้านไวรัสที่ใช้บ่อย ได้แก่
-
Oseltamivir (Tamiflu)
-
Zanamivir (Relenza)
-
Peramivir (Rapivab)
การติดตามอาการและการฟื้นตัว
-
สังเกตอาการไข้หวัดใหญ่ อย่างไข้สูงและอาการอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
-
หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ควรไปพบแพทย์
-
ควรพักฟื้นให้ร่างกายแข็งแรงก่อนกลับไปทำงานหรือเรียน
ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ รวมแนวทางป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้หลายวิธี
1. การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
-
ควรฉีดเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเชื้อมีการกลายพันธุ์
-
เหมาะสำหรับทุกคนที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป
-
ควรฉีดวัคซีนก่อนฤดูระบาดประมาณ 2-4 สัปดาห์
-
วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันประมาณ 60-80%
2. การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
-
ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที
-
ใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือเมื่อไม่มีน้ำและสบู่
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา จมูก ปาก ด้วยมือที่ไม่สะอาด
-
ใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม
3. การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
-
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
-
หลีกเลี่ยงความเครียด
-
งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การเตรียมความพร้อมในช่วงระบาด
-
ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุข
-
จัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์
-
วางแผนการดูแลสมาชิกในครอบครัวหากมีผู้ป่วย
-
รู้จักสังเกตอาการผิดปกติของตนเองและคนใกล้
ทำประกันสุขภาพเอาไว้ อุ่นใจกว่า ! วางแผนป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ
แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่จะสามารถป้องกันและรักษาได้ แต่การเจ็บป่วยแต่ละครั้งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพและค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักหมื่นบาทเมื่อเข้ารักษาในแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลเอกชน เพราะต้องจ่ายทั้งค่าห้องโรงพยาบาลและค่ารักษาพยาบาล
แนะนำแผนประกันสุขภาพจากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต
การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมจากพรูเด็นเชียล ประเทศไทย จะช่วยให้คุณเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้อย่างทันท่วงที ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุด ด้วยแผนประกันภัยที่ครอบคลุมทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ปรึกษาตัวแทนพรูเด็นเชียล ประเทศไทยวันนี้ เพื่อเลือกแผนความคุ้มครองที่เหมาะกับคุณและครอบครัว
หมายเหตุ
-
ความคุ้มครองขึ้นอยู่กับแผนประกันภัยที่เลือก
-
เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
-
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
สรุปคำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับโรคไข้หวัดใหญ่
1. ไข้หวัดใหญ่ติดต่อไหม และติดต่อกันได้นานแค่ไหน ?
ไข้หวัดใหญ่ติดต่อได้ง่ายมาก โดยผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการไข้หวัดใหญ่ จนถึง 5-7 วันหลังเริ่มป่วย โดยในเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจแพร่เชื้อได้นานกว่านี้
2. ไข้หวัดใหญ่กี่วันหาย และต้องพักงานกี่วัน ?
ไข้หวัดใหญ่กี่วันหายนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและภูมิคุ้มกันของแต่ละคน โดยทั่วไปจะหายใน 5-7 วัน แต่ควรพักงาน/พักเรียนอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังจากไข้ลดลงแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
3. อาการไข้หวัดใหญ่ระยะเบื้องต้นที่ควรสังเกตคืออะไรบ้าง ?
ไข้หวัดใหญ่มีอาการเบื้องต้นที่ควรระวัง ได้แก่ ไข้สูงเฉียบพลัน (38.5°C ขึ้นไป), ปวดเมื่อยตัวรุนแรง, ปวดศีรษะ, หนาวสั่น, และอ่อนเพลียมาก หากมีอาการเหล่านี้ควรพักผ่อนให้มาก ๆ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์
4. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไหนรุนแรงที่สุด และแยกแยะได้อย่างไร ?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดคือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เช่น มีไข้สูงมาก ปวดเมื่อยรุนแรง และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง ส่วนอาการไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะรุนแรงน้อยกว่า
ข้อมูลอ้างอิง